วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555
วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555
โปรแกรมbrowserแต่ละประเภท
โปรแกรมบราวเซอร์ (Browser)
เว็บบราวเซอร์ (web browser) หรือ โปรแกรมค้นดูเว็บ คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลและโต้ตอบกับข้อมูลสารสนเทศที่จัดเก็บในหน้าเว็บที่สร้างด้วยภาษาเฉพาะ เช่น ภาษาเอชทีเอ็มแอล (HTML)ที่จัดเก็บไว้ที่ระบบบริการเว็บหรือเว็บเซิร์ฟเวอร์หรือระบบคลังข้อมูลอื่น ๆ โดยโปรแกรมค้นดูเว็บเปรียบเสมือนเครื่องมือในการติดต่อกับ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เรียกว่าเวิลด์ไวด์เว็บ
ในระยะเริ่มต้นนั้นโปรแกรมบราวเซอร์ได้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ดูเอกสารของ เครือข่ายเวิลด์ไวด์เว็บเป็นหลัก จึงทำให้ผู้ใช้จำนวนมากเข้าใจว่าโปรแกรมบราวเซอร์กับโปรแกรมเรียกใช้บริการของเว็บเป็นสิ่งเดียวกัน แต่ในปัจจุบันโปรแกรมบราวเซอร์ได้ขยายขีดความสามารถมากขึ้นเรื่อย ๆ จนสามารถใช้เรียกบริการต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ตได้แทบทุกชนิด โดยการระบุชื่อโพรโตคอลของบริการต่าง ๆ นำหน้าตำแหน่งที่อยู่ (address หรือชื่อ โดเมนของเครื่องบวกกับชื่อไฟล์บริการของบริการ) ที่ต้องการ เช่น
เว็บบราวเซอร์ (web browser) หรือ โปรแกรมค้นดูเว็บ คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลและโต้ตอบกับข้อมูลสารสนเทศที่จัดเก็บในหน้าเว็บที่สร้างด้วยภาษาเฉพาะ เช่น ภาษาเอชทีเอ็มแอล (HTML)ที่จัดเก็บไว้ที่ระบบบริการเว็บหรือเว็บเซิร์ฟเวอร์หรือระบบคลังข้อมูลอื่น ๆ โดยโปรแกรมค้นดูเว็บเปรียบเสมือนเครื่องมือในการติดต่อกับ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เรียกว่าเวิลด์ไวด์เว็บ
ในระยะเริ่มต้นนั้นโปรแกรมบราวเซอร์ได้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ดูเอกสารของ เครือข่ายเวิลด์ไวด์เว็บเป็นหลัก จึงทำให้ผู้ใช้จำนวนมากเข้าใจว่าโปรแกรมบราวเซอร์กับโปรแกรมเรียกใช้บริการของเว็บเป็นสิ่งเดียวกัน แต่ในปัจจุบันโปรแกรมบราวเซอร์ได้ขยายขีดความสามารถมากขึ้นเรื่อย ๆ จนสามารถใช้เรียกบริการต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ตได้แทบทุกชนิด โดยการระบุชื่อโพรโตคอลของบริการต่าง ๆ นำหน้าตำแหน่งที่อยู่ (address หรือชื่อ โดเมนของเครื่องบวกกับชื่อไฟล์บริการของบริการ) ที่ต้องการ เช่น
http://www.netscape.com http://www.cnn.com/welcome.htm gopher://gopher.tc.umn.edu ftp://ftp.nectec.or.th/pub/pc file://C:/WINDOWS/Modem.txt | โพรโตคอล http ที่อยู่คือเครื่อง www.netscape.com โพรโตคอลhttp ที่อยู่คือเครื่อง www.cnn.com แฟ้ม welcome.htm โพรโตคอลgopher ที่อยู่คือเครื่อง gopher.tc.cum.edu โพรโตคอล ftp ที่อยู่คือเครื่อง ftp.nectec.or.th และราก /pub/pc โพรโตคอลfile ที่อยู่คือฮาร์ดดิสก์ c:\WINDOWS แฟ้ม Modem.txt |
เครื่องหมาย :// จะเป็นชนิดของโพรโตคอล และข้อความด้านหลังจะเป็นที่อยู่ของบริการนั้น ๆ (หากไม่ได้ระบุชื่อแฟ้มไว้ด้านหลังชื่อเครื่องโดยใช้ / คั่น จะเป็นการใช้ชื่อแฟ้มเริ่มต้นโดยปริยาย (default) ของเครื่องนั้น) การระบุโพรโตคอลพร้อมที่อยู่เช่นนี้เรียกว่า URL (Uniform Resource Locator) ซึ่งความหมายก็คือการใช้รูปแบบเดียวในการหาทรัพยากรต่าง ๆ นั้นเอง นอกจากนี้ ในตัวอย่างสุดท้ายจะเห็นได้ว่าโปรแกรมบราวเซอร์สามารถใช้ในการเปิดแฟ้มที่อยู่ในฮาร์ดดิสก์ของผู้ใช้ได้เสมือนกับเป็นบริการหนึ่งในอินเทอร์เน็ต นั่นคือโปรแกรมบราวเซอร์มีแนวโน้มที่ชัดเจนว่ากำลังพยายามทำตัวเป็นเปลือก (shell)ที่ครอบอยู่เหนือระบบปฏิบัติการอีกชั้นหนึ่ง อันจะทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานบริการต่าง ๆ ได้กับ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกประเภท โดยไม่ต้องกังวลถึงความแตกต่างของฮาร์ดแวร์หรือระบบปฏิบัติการอีกต่อไป
โปรแกรมบราวเซอร์ระยะแรก ๆ จะเป็นข้อความ (text) ทำให้ไม่ได้รับความนิยม แต่เมื่อห้องปฏิบัติการ CERN ออกโปรแกรม MOSAIC ซึ่งเป็นบราวเซอร์ที่ใช้ ระบบการติดต่อ ผู้ใช้แบบกราฟฟิก (GUI) ตัวแรก ก็ทำให้โปรแกรมบราวเซอร์ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่มีความรู้ทางคอมพิวเตอร์มากนัก เนื่องจากระบบการติดต่อกับผู้ใช้แบบกราฟฟิก ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานบริการต่าง ๆ ในอินเทอร์เน็ตได้อย่างง่ายดายด้วยการชี้แล้วเลือก (point and click) โดยแทบจะไม่ต้องใช้แป้นพิมพ์เลย รวมทั้งบราวเซอร์กราฟฟิกยังทำให้สามารถสร้างเวบเพจที่มีสีสันและรูปภาพสวยงาม อันเป็น การดึงดูดใจให้มีผู้นิยมใช้งานมากขึ้นเรื่อย ๆ
อย่างไรก็ดี ในปัจจุบัน MOSAIC ไม่ได้มีการพัฒนาต่อแล้ว เนื่องจากห้องปฏิบัติการ CERN ไม่ได้เป็นหน่วยงานที่หวังผลกำไร การพัฒนาเป็นการพัฒนา MOSAIC เพื่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเท่านั้น บราวเซอร์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบันก็คือบราวเซอร์ที่เป็นแชร์แวร์ จาก Netscape คือโปรแกรม Netscape Communicator ส่วนอันดับ 2 คือ บราวเซอร์ฟรีแวร์จาก Microsoft คือโปรแกรม Internet Explorer (IE) ซึ่งบราวเซอร์จากทั้ง 2 บริษัทได้มีการขยายขีดความสามารถใหม่ ๆ มากมาย เช่น การใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) การใช้งานกลุ่มข่าว (newsgroup) การประชุมทางไกล (video conference) การสร้างเว็บเพจ (web authoring) ตลอดจนการดูภาพแบบสามมิติ (VRML) เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายขีดความสามารถในการแทนที่ระบบปฏิบัติการ และการเพิ่มเทคโนโลยีการผลัก (push) ข้อมูล ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่จะไม่รอให้ผู้ใช้เป็นฝ่ายเรียกเข้าอินเทอร์เน็ตเพื่อดึง (pull) ข้อมูล แต่จะส่ง (push) ข้อมูลที่ผู้ใช้ต้องการ (เช่น ข่าวต่าง ๆ) มายังเครื่องผู้ใช้
โปรแกรมบราวเซอร์ระยะแรก ๆ จะเป็นข้อความ (text) ทำให้ไม่ได้รับความนิยม แต่เมื่อห้องปฏิบัติการ CERN ออกโปรแกรม MOSAIC ซึ่งเป็นบราวเซอร์ที่ใช้ ระบบการติดต่อ ผู้ใช้แบบกราฟฟิก (GUI) ตัวแรก ก็ทำให้โปรแกรมบราวเซอร์ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่มีความรู้ทางคอมพิวเตอร์มากนัก เนื่องจากระบบการติดต่อกับผู้ใช้แบบกราฟฟิก ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานบริการต่าง ๆ ในอินเทอร์เน็ตได้อย่างง่ายดายด้วยการชี้แล้วเลือก (point and click) โดยแทบจะไม่ต้องใช้แป้นพิมพ์เลย รวมทั้งบราวเซอร์กราฟฟิกยังทำให้สามารถสร้างเวบเพจที่มีสีสันและรูปภาพสวยงาม อันเป็น การดึงดูดใจให้มีผู้นิยมใช้งานมากขึ้นเรื่อย ๆ
อย่างไรก็ดี ในปัจจุบัน MOSAIC ไม่ได้มีการพัฒนาต่อแล้ว เนื่องจากห้องปฏิบัติการ CERN ไม่ได้เป็นหน่วยงานที่หวังผลกำไร การพัฒนาเป็นการพัฒนา MOSAIC เพื่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเท่านั้น บราวเซอร์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบันก็คือบราวเซอร์ที่เป็นแชร์แวร์ จาก Netscape คือโปรแกรม Netscape Communicator ส่วนอันดับ 2 คือ บราวเซอร์ฟรีแวร์จาก Microsoft คือโปรแกรม Internet Explorer (IE) ซึ่งบราวเซอร์จากทั้ง 2 บริษัทได้มีการขยายขีดความสามารถใหม่ ๆ มากมาย เช่น การใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) การใช้งานกลุ่มข่าว (newsgroup) การประชุมทางไกล (video conference) การสร้างเว็บเพจ (web authoring) ตลอดจนการดูภาพแบบสามมิติ (VRML) เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายขีดความสามารถในการแทนที่ระบบปฏิบัติการ และการเพิ่มเทคโนโลยีการผลัก (push) ข้อมูล ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่จะไม่รอให้ผู้ใช้เป็นฝ่ายเรียกเข้าอินเทอร์เน็ตเพื่อดึง (pull) ข้อมูล แต่จะส่ง (push) ข้อมูลที่ผู้ใช้ต้องการ (เช่น ข่าวต่าง ๆ) มายังเครื่องผู้ใช้
รายชื่อโปรแกรมบราวเซอร์ที่เป็นที่นิยม
- อินเทอร์เน็ตเอกซ์พลอเรอร์ (Internet Explorer) โดยบริษัทไมโครซอฟต์
- มอสซิลลา ไฟร์ฟอกซ์ (Mozilla Firefox) โดยมูลนิธิมอสซิลลา
- เน็ตสเคป นาวิเกเตอร์ (Netscape Navigator) โดยบริษัทเน็ตสเคป
- ซาฟารี (Safari) โดยบริษัทแอปเปิล คอมพิวเตอร์
- โอเปร่า (Opera) โดยบริษัทโอเปร่า ประเทศนอร์เวย์
- คามิโน
- แมกซ์ทอน
http://media.rajsima.ac.th/sujittra/unit1_p9.html
Browser คืออะไร?
- อธิบายอย่างง่ายว่า Browser คือเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถท่องเที่ยวไปในโลกอินเตอร์เน็ตได้อย่างไร้ขีดกั้นทางด้านพรมแดน นอกจากนี้ Browser ยังช่วยอำนวยความสะดวกในการเยี่ยมชมเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งในขณะนี้บริษัทผลิตซอฟแวร์ค่ายต่างๆ นับวันจะทวีการแข่งขันกันในการผลิต Browser เพื่อสร้างความพึงพอใจให้แก่นักท่องเว็บให้มากที่สุด หน้าตาของ browser แตกต่างกันไปตามแต่การออกแบบการใช้งานของแต่ละค่ายโปรแกรม
- โปรแกรม Browser ที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน ได้แก่ Internet Explorer และ Nescape Navigator แม้ว่าโดยรวมแล้วทั้งสองมีหลักการทำงานที่ค่อนข้างคลายคลึงกัน แต่หน้าตาที่ผิดเพี้ยนกัน คือ ตำแหน่งเครื่องมือ และชื่อเรียกเครื่องมือ อาจทำให้คุณอาจเกิดการสับสนบ้าง หากว่าคุณใช้ Browser ค่ายใดค่ายหนึ่งเป็นประจำ วันหนึ่งคุณอาจสนใจหยิบ Browser ของอีกค่ายหนึ่งมาลองใช้งานดู ความสนุกในการท่องเว็บไซต์ของคุณอาจถูกบั่นทอนลง เพราะความไม่คุ้นเคยกับเครื่องมือ
วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2555
อธิบายรูปแบบโครงสร้างและหน้าที่การทำงานของโปรโตคอน
World Wide Web : HTTP
เวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า เว็บ (Web) หรือ WWW เป็นแอพพลิเคชันหนึ่งที่ทำให้อินเทอร์เน็ตเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน WWW ใช้โปรโตคอล HTTP (Hyper text transfer Protocol) ซึ่งเป็นโปรโตคอลที่ใช้รับส่งไฟล์ HTML (Hyper text Markup Protocol) โดย HTML นั้นเป็นภาษาที่ใช้อธิบายการแสดงเว็บเพจนั้นเอง WWW เป็นแอพพลิเคชันที่ทำงานแบบไคลเอนท์เซิร์ฟเวอร์ กล่าวคือ WWW นั้นจะมีโฮสต์เครื่องหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นเซิร์ฟเวอร์ เรียกว่า “เว็บเซิร์ฟเวอร์ (Web Server) ซึ่งจะทำหน้าที่ให้บริการเอกสาร HTML ส่วนเครื่องไคลเอนท์นั้นใช้โปรแกรมเว็บบราวเซอร์ (Web Browser) เช่น อินเตอร์เน็ตเอ็กซ์พลอเรอร์ (IE) ซึ่งจะร้องขอไฟล์ HTML จากเว็บบราวเซอร์และแสดงผลให้ผู้ใช้ดู
1 กลไกการทำงานของ
โปรโตคอล HTTP เป็นโปรโตคอลที่อยู่ในชั้นแอพพลิเคชันของชุดโปรโตคอล TCP/IP ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดรูปแบบการร้องขอไฟล์ของไคลเอนท์ (เว็บบราวเซอร์) จากเว็บเซิร์ฟเวอร์ และรูปแบบการถ่ายโอนไฟล์จากเว็บเซิร์ฟเวอร์ไปยังไคลเอนท์โดยขั้นตอนคร่าวๆ นั้นได้แสดงในรูปที่ 2.51 ซึ่งอธิบายได้ดังนี้คือ กระบวนการนั้นจะเริ่มที่ทางฝั่งไคลเอนท์ โดยผู้ใช้คลิกในลิงค์ในเว็บเพจ หรือพิมพ์ URL (Uniform Resource Locator) ในช่องที่อยู่ (Address) ของเว็บบราวเซอร์ หลังจากนั้นเว็บบราวเซอร์จะทำการส่งการร้องขอ (HTTP Request) ผ่านเครือข่ายไปยังเว็บเซิร์ฟเวอร์ เมื่อเว็บเซิร์ฟเวอร์ที่ได้รับการร้องขอก็จะทำการค้นหาไฟล์ที่ถูกกำหนดใน URL ซึ่งถ้าพบก็จะตอบกลับ (HTTP Response) พร้อมกับไฟล์ กลับไปยังฝั่งไคลเอนท์ เว็บบราวเซอร์เมื่อได้รับการตอบกลับก็จะแสดงไฟล์นั้นให้ผู้ใช้ดู โปรโตคอล HTTP นั้นไม่ได้กำหนดรูปแบบการแสดงผลให้ผู้ใช้ดู ซึ่งหน้าที่นี้เป็นของเว็บบราวเซอร์ ดังนั้นเว็บบราวเซอร์ที่ต่างกันอาจแสดงเว็บเพจไม่เหมือนกันก็ได้
เว็บเพจหรือไฟล์ที่อยู่ในรูปแบบ HTML นั้นจะประกอบด้วยออบเจ็กต์ เช่น รูปภาพ (ไฟล์ .jpg, .gif เป็นต้น) เสียง และวิดีโอ เป็นต้น โดยออบเจ็กต์เหล่านี้จะถูกส่งทีละออบเจ็กต์ผ่านการเชื่อมต่อ TCP ที่สร้างไว้ก่อนหน้า ดังนั้นถ้ามีออบเจ็กต์เยอะๆ ในไฟล์ ก็จะทำให้กระบวนการนี้ช้าเนื่องจากมีแค่การเชื่อมต่อเดียว แต่ละบราวเซอร์ในปัจจุบันสามารถสร้างการเชื่อมต่อ TCP ได้ทีละหลายๆ การเชื่อมต่อในเวลาเดียวกัน ดังนั้นเมื่อบราวเซอร์ได้รับการตอบรับ
เว็บเพจหรือไฟล์ที่อยู่ในรูปแบบ HTML นั้นจะประกอบด้วยออบเจ็กต์ เช่น รูปภาพ (ไฟล์ .jpg, .gif เป็นต้น) เสียง และวิดีโอ เป็นต้น โดยออบเจ็กต์เหล่านี้จะถูกส่งทีละออบเจ็กต์ผ่านการเชื่อมต่อ TCP ที่สร้างไว้ก่อนหน้า ดังนั้นถ้ามีออบเจ็กต์เยอะๆ ในไฟล์ ก็จะทำให้กระบวนการนี้ช้าเนื่องจากมีแค่การเชื่อมต่อเดียว แต่ละบราวเซอร์ในปัจจุบันสามารถสร้างการเชื่อมต่อ TCP ได้ทีละหลายๆ การเชื่อมต่อในเวลาเดียวกัน ดังนั้นเมื่อบราวเซอร์ได้รับการตอบรับ
ครั้งแรกก็จะสร้างการเชื่อมต่อใหม่หลาย ๆ การเชื่อมต่อพร้อมกับการส่งในการร้องขอไปในการเชื่อมต่อเหล่านั้น ทำให้การถ่ายโอนออบเจ็กต์ทั้งหมดที่ต้องแสดงในเว็บเพจหนึ่งนั้นเร็วขึ้น
2 ข้อความการร้องขอและตอบกลับ (HTTP Message)
มาตรฐานของโปรโตคอล HTTP ที่ใช้ในปัจจุบันคือเวอร์ชัน1.1 (HTTP/1.1) ซึ่งได้กำหนดรูปแบบข้อมูลที่รับส่งระหว่างไคลเอนท์และเซิร์ฟเวอร์ โดยข้อความที่แลกเปลี่ยนกันนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ข้อความการร้องขอ (HTTP Request Message) และข้อความการตอบกลับ (HTTP Response Message)
2 ข้อความการร้องขอและตอบกลับ (HTTP Message)
มาตรฐานของโปรโตคอล HTTP ที่ใช้ในปัจจุบันคือเวอร์ชัน1.1 (HTTP/1.1) ซึ่งได้กำหนดรูปแบบข้อมูลที่รับส่งระหว่างไคลเอนท์และเซิร์ฟเวอร์ โดยข้อความที่แลกเปลี่ยนกันนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ข้อความการร้องขอ (HTTP Request Message) และข้อความการตอบกลับ (HTTP Response Message)
FTP (File Transfer Protocol) เป็นโปรโตคอลสำหรับถ่ายโอนไฟล์ระหว่างสองเครื่อง โปรโตคอล FTP นั้นมีมาพร้อมกับอินเตอร์เน็ตในสมัยแรกๆ และยังเป็นโปรโตคอลที่นิยมในปัจจุบัน FTP ถูกอธิบายใน RFC 959 ดังรูปที่ 2.52 ซึ่งแสดงลักษณะการถ่ายโอนไฟล์ระหว่างเครื่องด้วย FTP
โดยทั่วไปแล้วเมื่อผู้ใช้ต้องการถ่ายโอนไฟล์ระหว่างเครือข่าย ผู้ใช้ก็จะต้องเปิดโปรแกรม FTP ซึ่งสิ่งที่ผู้ใช้ต้องระบุในการเชื่อมต่อครั้งแรกคือ ชื่อหรือที่อยู่ของ FTP เซิร์ฟเวอร์ พร้อมทังชื่อล็อกอินและรหัสผ่าน หลลังจากนั้นไคลเอนท์จะสร้างการเชื่อมต่อ TCP กับเซิร์ฟเวอร์ และส่งข้อมูลเกี่ยวกับล็อกอินเพื่อเซิร์ฟเวอร์จะได้ตรวจสอบสิทธิ์ของผู้ใช้ และถ้าตรวจสอบสิทธิ์ผ่านผู้ใช้ก็สามารถอัพโหลดไฟล์ หรือดาวน์โหลดไฟล์ระหว่างเครื่องของผู้ใช้และเซิร์ฟเวอร์ได้
โดยทั่วไปแล้วเมื่อผู้ใช้ต้องการถ่ายโอนไฟล์ระหว่างเครือข่าย ผู้ใช้ก็จะต้องเปิดโปรแกรม FTP ซึ่งสิ่งที่ผู้ใช้ต้องระบุในการเชื่อมต่อครั้งแรกคือ ชื่อหรือที่อยู่ของ FTP เซิร์ฟเวอร์ พร้อมทังชื่อล็อกอินและรหัสผ่าน หลลังจากนั้นไคลเอนท์จะสร้างการเชื่อมต่อ TCP กับเซิร์ฟเวอร์ และส่งข้อมูลเกี่ยวกับล็อกอินเพื่อเซิร์ฟเวอร์จะได้ตรวจสอบสิทธิ์ของผู้ใช้ และถ้าตรวจสอบสิทธิ์ผ่านผู้ใช้ก็สามารถอัพโหลดไฟล์ หรือดาวน์โหลดไฟล์ระหว่างเครื่องของผู้ใช้และเซิร์ฟเวอร์ได้
โปรโตคอล FTP และ HTTP มีหลายอย่างที่เหมือนกัน เช่น ทั้งสองเป็นโปรโตคอลสำหรับถ่ายโอนไฟล์และนอกจากกนี้ใช้การเชื่อมต่อแบบ TCP เหมือนกัน อย่างไรก็ตามทั้งสองโปรโตคอลมีข้อแตกต่างที่สำคัญคือ โปรโตคอล FTP จะใช้การเชื่อมต่อ TCP ที่ขนานกันสองการเชื่อมต่อ การเชื่อมต่อแรกใช้สำหรับการควบคุมการถ่ายโอนไฟล์ (Control Connection)
ส่วนการเชื่อมต่อที่สองจะใช้สำหรับการถ่ายโอนข้อมูลหรือไฟล์ (Data Connection) ช่องการเชื่อมต่อข้อมูลนั้นจะใช้สำหรับการส่งข้อมูล หรือคำสั่งที่ใช้สำหรับควบคุมการถ่ายโอนไฟล์ระหว่างโฮสต์ เช่น ชื่อล็อกอิน รหัสผ่าน คำสั่งสำหรับการเปลี่ยนไดเร็คทอรี หรือคำสั่งสำหรับการอัพโหลดไฟล์ (put) และคำสั่งสำหรับการดาวน์โหลดไฟล์ (get) เป็นต้น ส่วนช่องการเชื่อมต่อข้อมูลนั้นก็ใช้สำหรับการถ่ายโอนไฟล์ ส่วนโปรโตคอล HTTP นั้นจะใช้การเชื่อมต่อเดียวสำหรับทั้งรับส่งข้อมูลการควบคุมและไฟล์เว็บเพจ รูปที่ 2.53 แสดงช่องการเชื่อมต่อของ FTP
ส่วนการเชื่อมต่อที่สองจะใช้สำหรับการถ่ายโอนข้อมูลหรือไฟล์ (Data Connection) ช่องการเชื่อมต่อข้อมูลนั้นจะใช้สำหรับการส่งข้อมูล หรือคำสั่งที่ใช้สำหรับควบคุมการถ่ายโอนไฟล์ระหว่างโฮสต์ เช่น ชื่อล็อกอิน รหัสผ่าน คำสั่งสำหรับการเปลี่ยนไดเร็คทอรี หรือคำสั่งสำหรับการอัพโหลดไฟล์ (put) และคำสั่งสำหรับการดาวน์โหลดไฟล์ (get) เป็นต้น ส่วนช่องการเชื่อมต่อข้อมูลนั้นก็ใช้สำหรับการถ่ายโอนไฟล์ ส่วนโปรโตคอล HTTP นั้นจะใช้การเชื่อมต่อเดียวสำหรับทั้งรับส่งข้อมูลการควบคุมและไฟล์เว็บเพจ รูปที่ 2.53 แสดงช่องการเชื่อมต่อของ FTP
ช่องควบคุมและช่องการถ่ายโอนไฟล์ของ FTP
กระบวนการของการถ่ายโอนไฟล์ด้วย FTP นั้นจะเริ่มจากไคลเอนท์สร้างการเชื่อมต่อ TCP กับทางฝั่งเซิร์ฟเวอร์ผ่านทางพอร์ต 21 ซึ่งการเชื่อมต่อนี้เป็นช่องสำหรับการรับส่งข้อมูลการควบคุมการถ่ายโอนไฟล์ เมื่อสร้างการเชื่อมต่อสำหรับต่อไปทางฝังไคลเอนท์ก็จะส่งข้อมูลล็อกอิน เช่น ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านไปให้ทางฝั่งเซิร์ฟเวอร์ตรวจสอบสิทธิ์ เมื่อเซิร์ฟเวอร์ตรวจสอบสิทธิ์ผ่านไคลเอนท์ก็สามารถดาวน์โหลด หรืออัพโหลดไฟล์ได้ ซึ่งมีขขั้นตอนดังนี้ เช่น เมื่อไคลเอนท์ต้องการดาวน์โหลดไฟล์ไคลเอนท์ก็ส่งข้อมูลเกี่ยวกับไฟล์นั้นไปให้ทางฝั่งเซิร์ฟเวอร์ผ่านทางพอร์ต 21 เมื่อเซิร์ฟเวอร์ได้รับการร้องขอก็จะสร้างการเชื่อมต่อใหม่โดยใช้พอร์ต 20 กับ
อธิบายรูปแบบโครงสร้างและหน้าที่การทำงานของโปรโตคอน
โครงสร้างของระบบ DNS นั้นจะเป็นแบบมีลำดับชั้น (Hierarchy) ดังรูป
โครงสร้างของระบบ DNS
- Root Domain : ลำดับสูงสุดของระบบโดเมนคือ รูทโดเมน (Root Domain) ทุก ๆ โดเมนจะรู อยู่ภายใต้รูทโดเมนหมด ดังนั้นรูทโดเมนจึงเป็นส่วนที่สำคัญมากของระบบ DNS ในระบบอินเทอร์เน็ตนั้นรูทโดเมนประกอบด้วยเซิร์ฟเวอร์ 7 เครื่อง
- Top-Level Domain : ระดับโดเมนที่รองลงมาจากรูทโดเมนจะเรียกว่า โดเมนระดับหนึ่ง (Top-Level Domain) โดเมนในระดับนี้จะถูกกำหนดให้โดยประเภทขององค์กรและประเทศโดเมนในระดับนี้จะมีคนแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ โดเมนขององค์กร โดเมนของประเทศ และโดเมนการแปลงกลับ
- Second- Level Domain : สำหรับโดเมนระดับรองรองลงมาจากท็อปเลเวลนี้เป็นโดเมนที่แจกจ่ายให้กับองค์กรหรือบุคคลที่ต้องการชื่อโดเมน
2 โดเมนแบ่งตามหน้าที่ขององค์กร
โดเมนในระดับหนึ่งนี้จะอยู่ถัดจากรูทโดเมน แต่ละโดเมนจะใช้โค้ดที่เป็นตัวอักษร 2-4 ตัวเพื่อบ่งบอกจุดประสงค์หรือหน้าที่หลักขององค์กรนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น .COM เป็นโดเมนในระดับนี้
โดเมนในระดับหนึ่งนี้จะอยู่ถัดจากรูทโดเมน แต่ละโดเมนจะใช้โค้ดที่เป็นตัวอักษร 2-4 ตัวเพื่อบ่งบอกจุดประสงค์หรือหน้าที่หลักขององค์กรนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น .COM เป็นโดเมนในระดับนี้
2.1 โดเมนของประเทศ
นอกจากในการตั้งชื่อโดเมนให้เหมาะกับประเภท หรือหน้าที่ขององค์กรแล้ว การตั้งชื่อโดเมนยังใช้ประเทศในการแบ่ง ซึ่งจะใช้ตัวอักษร 2 ตัวเป็นการบอกชื่อ
โดเมนประเทศนอกจากในการตั้งชื่อโดเมนให้เหมาะกับประเภท หรือหน้าที่ขององค์กรแล้ว การตั้งชื่อโดเมนยังใช้ประเทศในการแบ่ง ซึ่งจะใช้ตัวอักษร 2 ตัวเป็นการบอกชื่อ
โดเมน |
ประเทศ
|
.th | ไทย |
.uk | อังกฤษ |
.au | ออสเตรเลีย |
.jp | ญี่ปุ่น |
.kr | เกาหลี |
ชื่อโดเมนยังจะสามารถใช้แบบผสมระหว่างทั้งสองประเภท ที่กล่าวข้างต้น โดยโดเมนที่บ่งบอกประเทศจะอยู่ขวาสุด และถัดมาจะเป็นตัวอักษร 2-3 ตัวของโดเมนที่บอกประเภทขององค์กร เช่น .co + .th จะได้โดเมนเป็น .co.th หมายความว่าเป็นโดเมนของบริษัทหนึ่งที่อยู่ในประเทศไทย
3 ประเภทของ DNS เซิร์ฟเวอร์
ข้อมูลที่เก็บไว้ใน DNS เซิร์ฟเวอร์แต่ละเครื่องจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับหน้าที่ หรือประเภทของ DNS เซิร์ฟเวอร์นั้น หน้าที่ของเซิร์ฟเวอร์นั้นจะเป็นสิ่งที่กำหนดว่าข้อมูลจะถูกเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์อย่างไร โดย DNS เซิร์ฟเวอร์แบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้
3.1 Primary Name Server
เนมเซิร์ฟเวอร์หลัก(Primary Name Server) คือ เซิร์ฟเวอร์ที่อ่านข้อมูลเกี่ยวกับคอนฟิกูเรชันจากไฟล์ที่เก็บอยู่ในเครื่องนั้น การเปลี่ยนแปลงข้อมูลของโซน เช่น การเพิ่มเร็คคอร์ดต่าง ๆ จะต้องทำที่เนมเซิร์ฟเวอร์หลักเท่านั้น
3.2 Secondary Name Server
เนมเซิร์ฟเวอร์รอง (Secondary Name Server) จะถ่ายโอนข้อมูลของโซนจากเนมเซิร์ฟเวอร์เครื่องอื่นซึ่งอาจเป็นเนมเซิร์ฟเวอร์หลัก หรือเนมเซิร์ฟเวอร์รองก็ได้
3 ประเภทของ DNS เซิร์ฟเวอร์
ข้อมูลที่เก็บไว้ใน DNS เซิร์ฟเวอร์แต่ละเครื่องจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับหน้าที่ หรือประเภทของ DNS เซิร์ฟเวอร์นั้น หน้าที่ของเซิร์ฟเวอร์นั้นจะเป็นสิ่งที่กำหนดว่าข้อมูลจะถูกเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์อย่างไร โดย DNS เซิร์ฟเวอร์แบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้
3.1 Primary Name Server
เนมเซิร์ฟเวอร์หลัก(Primary Name Server) คือ เซิร์ฟเวอร์ที่อ่านข้อมูลเกี่ยวกับคอนฟิกูเรชันจากไฟล์ที่เก็บอยู่ในเครื่องนั้น การเปลี่ยนแปลงข้อมูลของโซน เช่น การเพิ่มเร็คคอร์ดต่าง ๆ จะต้องทำที่เนมเซิร์ฟเวอร์หลักเท่านั้น
3.2 Secondary Name Server
เนมเซิร์ฟเวอร์รอง (Secondary Name Server) จะถ่ายโอนข้อมูลของโซนจากเนมเซิร์ฟเวอร์เครื่องอื่นซึ่งอาจเป็นเนมเซิร์ฟเวอร์หลัก หรือเนมเซิร์ฟเวอร์รองก็ได้
กระบวนการถ่ายโอนข้อมูลเกี่ยวกับโซนนี้จะเรียกว่า“โซนทรานสอร์ (Zone Transfer)” การมีเครื่องเซิร์ฟเวอร์รองนั้นมีประโยชน์ดังนี้
- Redundancy : แต่ละโซนจะต้องมีเนมเซิร์ฟเวอร์หลักหนึ่งเครื่อง และเซิร์ฟเวอร์รองหนึ่งเครื่อง เซิร์ฟเวอร์รองจะทำหน้าที่แทนเซิร์ฟเวอร์หลักเมื่อเซิร์ฟเวอร์หลัก
- Distribution :เซิร์ฟเวอร์รองควรตั้งอยู่คนละที่กับเนมเซิร์ฟเวอร์หลัก หรือที่ที่มีไคลเอนท์มากพอสมควร เพื่อเป็นการช่วยลดปริมาณแพ็กเก็ตที่ต้องวิ่งผ่านระบบ WAN เนื่องจากเนมเซิร์ฟเวอร์รองก็ทำหน้าที่เหมือนกับเนมเซิร์ฟเวอร์หลัก
- Load Balancing : การใช้เนมเซิร์ฟเวอร์รองนั้นจะช่วยแบ่งเบาโหลดของเนมเซิร์ฟเวอร์หลักได้ ซึ่งจะช่วยให้เวลาในการโพรเซสและตอบกลับ (Response Time) เร็วขึ้น
3.3 Master Name Server
มาสเตอร์เนมเซิร์ฟเวอร์ (Master Name Server) เป็นแหล่งข้อมูลโซนของเซิร์ฟเวอร์รอง ดังนั้นเมื่อมาสเตอร์เนมเซิร์ฟเวอร์อาจจะเป็นเนมเซิร์ฟเวอร์หลักก็ได้ หรือเนมเซิร์ฟเวอร์รองก็ได้ เมื่อเปิดเนมเซิร์ฟเวอร์รองครั้งแรกทำการติดต่อกับมาสเตอร์เนมเซิร์ฟเวอร์เพื่อทำโซนทรานสเฟอร์ สำหรับในแต่ละโซนที่เซิร์ฟเวอร์นี้จะทำหน้าที่เป็นเนมเซิร์ฟเวอร์รอง
โซนทรานสเฟอร์จะเกิดขึ้นเป็นช่วงๆ หรือเมื่อใดก็ตามที่ข้อมูลเปลี่ยนแปลงบนมาสเตอร์เนมเซิร์ฟเวอร์
3.4 Forwarders and Slaves
เมื่อเนมเซิร์ฟเวอร์ได้รับการตอบถาม (Query) เข้ามา เครื่องนั้นก็จะทำการตรวจตอบข้อมูลเกี่ยวกับโซนนั้นในเซิร์ฟเวอร์นั้นก่อน แต่ถ้าเซิร์ฟเวอร์นั้นไม่มีข้อมูลอยู่ หรือไม่มีข้อมูลที่เป็นต้นฉบับ (Non-Authoritative) ของโซนนั้น มันก็จะทำการติดต่อกับเนมเซิร์ฟเวอร์เครื่องอื่น
โดยส่วนใหญ่แล้วกรณีนี้จะเกิดขึ้นเมื่อโซนที่สอบถามมานั้น ไม่อยู่ในระบบเครือข่ายเดียวกัน DNS จะกำหนดให้เนมเซิร์ฟเวอร์เครื่องหนึ่งทำหน้าที่เป็นเครื่องส่งต่อ (Forwaeder) เพื่อทำหน้าที่ร้องขอข้อมูลไปยังเนมเซิร์ฟเวอร์อื่นที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต และส่งผลที่ได้กลับไปยังเนมเซิร์ฟเวอร์ที่ทำการร้องขอมา ถ้าเครื่องฟอร์เวิลด์เดอร์ไม่สามารถกลับไปร้องขอได้ เนมเซิร์ฟเวอร์ที่ร้องขอมาจะต้องตัดสินเองว่าจะตอบการร้องขออย่างไร การที่เนมเซิร์ฟเวอร์จะตอบ
มาสเตอร์เนมเซิร์ฟเวอร์ (Master Name Server) เป็นแหล่งข้อมูลโซนของเซิร์ฟเวอร์รอง ดังนั้นเมื่อมาสเตอร์เนมเซิร์ฟเวอร์อาจจะเป็นเนมเซิร์ฟเวอร์หลักก็ได้ หรือเนมเซิร์ฟเวอร์รองก็ได้ เมื่อเปิดเนมเซิร์ฟเวอร์รองครั้งแรกทำการติดต่อกับมาสเตอร์เนมเซิร์ฟเวอร์เพื่อทำโซนทรานสเฟอร์ สำหรับในแต่ละโซนที่เซิร์ฟเวอร์นี้จะทำหน้าที่เป็นเนมเซิร์ฟเวอร์รอง
โซนทรานสเฟอร์จะเกิดขึ้นเป็นช่วงๆ หรือเมื่อใดก็ตามที่ข้อมูลเปลี่ยนแปลงบนมาสเตอร์เนมเซิร์ฟเวอร์
3.4 Forwarders and Slaves
เมื่อเนมเซิร์ฟเวอร์ได้รับการตอบถาม (Query) เข้ามา เครื่องนั้นก็จะทำการตรวจตอบข้อมูลเกี่ยวกับโซนนั้นในเซิร์ฟเวอร์นั้นก่อน แต่ถ้าเซิร์ฟเวอร์นั้นไม่มีข้อมูลอยู่ หรือไม่มีข้อมูลที่เป็นต้นฉบับ (Non-Authoritative) ของโซนนั้น มันก็จะทำการติดต่อกับเนมเซิร์ฟเวอร์เครื่องอื่น
โดยส่วนใหญ่แล้วกรณีนี้จะเกิดขึ้นเมื่อโซนที่สอบถามมานั้น ไม่อยู่ในระบบเครือข่ายเดียวกัน DNS จะกำหนดให้เนมเซิร์ฟเวอร์เครื่องหนึ่งทำหน้าที่เป็นเครื่องส่งต่อ (Forwaeder) เพื่อทำหน้าที่ร้องขอข้อมูลไปยังเนมเซิร์ฟเวอร์อื่นที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต และส่งผลที่ได้กลับไปยังเนมเซิร์ฟเวอร์ที่ทำการร้องขอมา ถ้าเครื่องฟอร์เวิลด์เดอร์ไม่สามารถกลับไปร้องขอได้ เนมเซิร์ฟเวอร์ที่ร้องขอมาจะต้องตัดสินเองว่าจะตอบการร้องขออย่างไร การที่เนมเซิร์ฟเวอร์จะตอบ
การร้องขอเอง ในกรณีที่ฟอร์เวิลด์เดอร์ไม่ทำงาน จะเรียกว่าเป็น “นอนเอ็กซ์กลูชีพโหมด (Nonexclusive Mode)”
3.5 Caching-only Name Server
ดีเอ็นเอสเซิร์ฟเวอร์ จะทำการเก็บเร็คคอร์ดของโซนที่ได้รับการตอบกลับแล้วไว้ในแคชเป็นเวลาช่วงหนึ่ง ซึ่งถ้าเซิร์ฟเวอร์นี้ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับโซนที่เก็บไว้ในรูปไฟล์ จะเรียกว่า “แคชชิ่งโอนลีเนมเซิร์ฟเวอร์ (Caching-only Name Server)” ดังนั้นมันจึงไม่มีการทำ
โซนทรานสเฟอร์
ในตอนแรกที่แคชชิ่งเซิร์ฟเวอร์ทำงาน ในเซิร์ฟเวอร์จะไม่มีข้อมูลใด ๆ เลยดังนั้นมันจึงทำการส่งต่อการร้องขอทั้งหมดไปยังเนมเซิร์ฟเวอร์เครื่องอื่น ในขณะเดียวกันก็ทำการเก็บข้อมูลการร้องขอต่าง ๆ ที่ได้รับการตอบกลับมาไว้ในแคช ครั้งต่อไปที่มีการร้องขอที่เหมือนกันมันก็สามารถตอบกลับได้ทันที ในตอนแรกนั้นแคชเซิร์ฟเวอร์จะรับส่งข้อมูลในปริมาณที่มาก เนื่องจากตอนแรกยังไม่มีข้อมูลอยู่ในแคชเลย แต่เนื่องจากแคชชิ่งเซิร์ฟเวอร์ไม่ต้องทำโซนทรานสเฟอร์ ดังนั้นปริมาณแพ็กเก็ตก็จะน้อยลงเมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง
4 ขั้นตอนการทำงานของ DNS
กระบวนการในการร้องขอ (Query) ของระบบ DNS จะมีด้วยกัน 3 วิธีคือ รีเคอร์ชีพ (Recursive) , อินเตอร์แอ็คทีฟ (Interactive) และอินเวอร์ส (Inverse)
การร้องขอแบบรีเคอร์ชีพและอินเตอร์แอ็คทีฟ
โดยปกติการร้องขอแบบรีเคอร์ชีพ (Recursive Query) จะเกิดขึ้นระหว่างไคลเอนท์และเนมเซิร์ฟเวอร์ การที่เนมเซิร์ฟเวอร์ได้รับการรร้องขอแบบนี้จะตอบกลับด้วยข้อมูลที่เกี่ยวกับโดนเมนนั้น หรืออาจตอบกลับเป็นข้อความที่บอกการผิดพลาดถ้าข้อมูลของโดเมน หรือโฮสต์นั้นไม่มีระบบ เนมเซิร์ฟเวอร์ที่ได้รับการร้องขอแบบรีเคอร์ชีพนี้ จะรับผิดชอบเกี่ยวกับการค้นหาข้อมูลของโดเมนหรือโฮสต์ โดยจะไม่สามารถส่งต่อเพื่อการร้องขอให้เนมเซิร์ฟเวอร์อื่นได้ อย่างไรก็ตามเนมเซิร์ฟเวอร์สามารถร้องขอแบบอินเตอร์แอ็คทีฟ (Interactive) กับเนมเซิร์ฟเวอร์อื่นได้
3.5 Caching-only Name Server
ดีเอ็นเอสเซิร์ฟเวอร์ จะทำการเก็บเร็คคอร์ดของโซนที่ได้รับการตอบกลับแล้วไว้ในแคชเป็นเวลาช่วงหนึ่ง ซึ่งถ้าเซิร์ฟเวอร์นี้ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับโซนที่เก็บไว้ในรูปไฟล์ จะเรียกว่า “แคชชิ่งโอนลีเนมเซิร์ฟเวอร์ (Caching-only Name Server)” ดังนั้นมันจึงไม่มีการทำ
โซนทรานสเฟอร์
ในตอนแรกที่แคชชิ่งเซิร์ฟเวอร์ทำงาน ในเซิร์ฟเวอร์จะไม่มีข้อมูลใด ๆ เลยดังนั้นมันจึงทำการส่งต่อการร้องขอทั้งหมดไปยังเนมเซิร์ฟเวอร์เครื่องอื่น ในขณะเดียวกันก็ทำการเก็บข้อมูลการร้องขอต่าง ๆ ที่ได้รับการตอบกลับมาไว้ในแคช ครั้งต่อไปที่มีการร้องขอที่เหมือนกันมันก็สามารถตอบกลับได้ทันที ในตอนแรกนั้นแคชเซิร์ฟเวอร์จะรับส่งข้อมูลในปริมาณที่มาก เนื่องจากตอนแรกยังไม่มีข้อมูลอยู่ในแคชเลย แต่เนื่องจากแคชชิ่งเซิร์ฟเวอร์ไม่ต้องทำโซนทรานสเฟอร์ ดังนั้นปริมาณแพ็กเก็ตก็จะน้อยลงเมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง
4 ขั้นตอนการทำงานของ DNS
กระบวนการในการร้องขอ (Query) ของระบบ DNS จะมีด้วยกัน 3 วิธีคือ รีเคอร์ชีพ (Recursive) , อินเตอร์แอ็คทีฟ (Interactive) และอินเวอร์ส (Inverse)
การร้องขอแบบรีเคอร์ชีพและอินเตอร์แอ็คทีฟ
โดยปกติการร้องขอแบบรีเคอร์ชีพ (Recursive Query) จะเกิดขึ้นระหว่างไคลเอนท์และเนมเซิร์ฟเวอร์ การที่เนมเซิร์ฟเวอร์ได้รับการรร้องขอแบบนี้จะตอบกลับด้วยข้อมูลที่เกี่ยวกับโดนเมนนั้น หรืออาจตอบกลับเป็นข้อความที่บอกการผิดพลาดถ้าข้อมูลของโดเมน หรือโฮสต์นั้นไม่มีระบบ เนมเซิร์ฟเวอร์ที่ได้รับการร้องขอแบบรีเคอร์ชีพนี้ จะรับผิดชอบเกี่ยวกับการค้นหาข้อมูลของโดเมนหรือโฮสต์ โดยจะไม่สามารถส่งต่อเพื่อการร้องขอให้เนมเซิร์ฟเวอร์อื่นได้ อย่างไรก็ตามเนมเซิร์ฟเวอร์สามารถร้องขอแบบอินเตอร์แอ็คทีฟ (Interactive) กับเนมเซิร์ฟเวอร์อื่นได้
โครงสร้างและกาทำงาน
อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น โปรโตคอลโฮสต์ทูโฮสต์เลเยอร์ (Host to Host Layer) นี้จะประกอบด้วย 2 โปรโตคอลคือ TCP (Transmission Control Protocol) UDP (User Datagram Protocol) ซึ่งเป็นโปรโตคอลแต่ละตัวจะบริการแตกต่างกัน และมีข้อดีข้อเสียต่างกัน โปรโตคอลทั้งสองตัวมีรายละเอียดดังนี้
1 Transmission Control Protocol (TCP)
โปรโตคอล TCP (Transmission Control Protocol) เป็นโปรโตคอลที่ให้บริการแบบคอนเน็กชันโอเรียนเต็ด (Connection-Oriented) ซึ่งเป็นการส่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ TCP จะส่งข้อมูลทั้งหมดจนสำเร็จ ซึ่งถ้าข้อมูลมีขนาดใหญ่ก็จะถูกแบ่งย่อยเป็นหลายแพ็กเก็ต โปรโตคอล TCP จะทำหน้าที่ควบคุมการรับส่งแพ็กเก็ตข้อมูลย่อย ๆ เหล่านี้ สำหรับกลไกในการควบคุมการไหลของข้อมูลมีรายละเอียดดังนี้
2 การจัดการเกี่ยวกับเซสชั่น
เนื่องจาก TCP เป็นโปรโตคอลที่ให้บริการแบบคอนเน็กชันโอเรียนเต็ด ดังนั้นก่อนการจะส่งข้อมูลจำเป็นที่จะต้องสร้างเซสชั่นเพื่อเชื่อมต่อกับโฮสต์ปลายทางก่อนเซสชั่นเป็นการสร้างการสนทนาอย่างเป็นรูปแบบระหว่างทั้งสองโฮสต์เพื่อใช้สำหรับการกู้คืนข้อมูล เมื่อเกิดข้อผิดพลาดระหว่างการรับส่งข้อมูล ขั้นตอนในการสร้างเซสชั่นจะมีอยู่ 3 ขั้นตอนซึ่งบางทีก็เรียกว่า “ทรีเวย์แฮนเช็ค (Three – Way Handshake)
โปรโตคอล TCP (Transmission Control Protocol) เป็นโปรโตคอลที่ให้บริการแบบคอนเน็กชันโอเรียนเต็ด (Connection-Oriented) ซึ่งเป็นการส่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ TCP จะส่งข้อมูลทั้งหมดจนสำเร็จ ซึ่งถ้าข้อมูลมีขนาดใหญ่ก็จะถูกแบ่งย่อยเป็นหลายแพ็กเก็ต โปรโตคอล TCP จะทำหน้าที่ควบคุมการรับส่งแพ็กเก็ตข้อมูลย่อย ๆ เหล่านี้ สำหรับกลไกในการควบคุมการไหลของข้อมูลมีรายละเอียดดังนี้
2 การจัดการเกี่ยวกับเซสชั่น
เนื่องจาก TCP เป็นโปรโตคอลที่ให้บริการแบบคอนเน็กชันโอเรียนเต็ด ดังนั้นก่อนการจะส่งข้อมูลจำเป็นที่จะต้องสร้างเซสชั่นเพื่อเชื่อมต่อกับโฮสต์ปลายทางก่อนเซสชั่นเป็นการสร้างการสนทนาอย่างเป็นรูปแบบระหว่างทั้งสองโฮสต์เพื่อใช้สำหรับการกู้คืนข้อมูล เมื่อเกิดข้อผิดพลาดระหว่างการรับส่งข้อมูล ขั้นตอนในการสร้างเซสชั่นจะมีอยู่ 3 ขั้นตอนซึ่งบางทีก็เรียกว่า “ทรีเวย์แฮนเช็ค (Three – Way Handshake)
- โฮสต์ที่ต้องการส่งข้อมูลจะส่งแพ็กเก็ตไปยังโฮสต์ปลายทาง เพื่อแจ้งให้ทราบว่าต้องการส่งข้อมูล
- โฮสต์ปลายทางก็จะตอบตกลงมา พร้อมทั้งรหัสที่จะใช้ในการรับส่งข้อมูล
- โฮสต์ต้นทางก็จะส่งแพ็กเก็ตพร้อมรหัสที่ได้รับ เพื่อเป็นการยืนยันการเชื่อมต่อ
หลังจากที่ได้มีการสร้างเซสชั่นสำเร็จแล้วถึงเริ่มขบวนการรับ – ส่งข้อมูลจริงๆ ซึ่งในการรับส่งข้อมูลในแต่ละครั้งก็จะมีการยืนยันการรับส่งข้อมูลจากโฮสต์ปลายทางทุกครั้ง เมื่อรับส่งข้อมูลเสร็จก็เป็นขั้นตอนการยกเลิกการเซสชั่น ซึ่งจะคล้าย ๆ กับการสร้างเซสชั่น
3 การควบคุมการไหลเวียนและกู้คืนข้อมูล
ในแต่ละเซสชั่น โฮสต์ฝ่ายรับต้องตอบกลับทุก ๆ แพ็กเก็ตที่ได้รับภายในเวลาที่กำหนด เพื่อเป็นการยืนยันการรับข้อมูลทุก ๆ แพ็กเก็ตที่ส่ง ฝ่ายรับจะทำการเช็คความถูกต้องของแพ็กเก็ตข้อมูลทุกครั้ง และแจ้งให้ทราบถึงการตรวจตอบนั้น ถ้าฝ่ายส่งไม่ได้รับการตอบรับจากฝ่ายรับภายในเวลาที่กำหนด ฝ่ายรับก็จะคาดเอาว่าแพ็กเก็ตสูญหายระหว่างทาง ฝ่ายรับก็จะทำการส่งแพ็กเก็ตนั้นให้ใหม่อีกครั้ง เพื่อจะทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลทุก ๆ แพ็กเก็ตส่งถึงปลายทางอย่างสมบูรณ์
3 การควบคุมการไหลเวียนและกู้คืนข้อมูล
ในแต่ละเซสชั่น โฮสต์ฝ่ายรับต้องตอบกลับทุก ๆ แพ็กเก็ตที่ได้รับภายในเวลาที่กำหนด เพื่อเป็นการยืนยันการรับข้อมูลทุก ๆ แพ็กเก็ตที่ส่ง ฝ่ายรับจะทำการเช็คความถูกต้องของแพ็กเก็ตข้อมูลทุกครั้ง และแจ้งให้ทราบถึงการตรวจตอบนั้น ถ้าฝ่ายส่งไม่ได้รับการตอบรับจากฝ่ายรับภายในเวลาที่กำหนด ฝ่ายรับก็จะคาดเอาว่าแพ็กเก็ตสูญหายระหว่างทาง ฝ่ายรับก็จะทำการส่งแพ็กเก็ตนั้นให้ใหม่อีกครั้ง เพื่อจะทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลทุก ๆ แพ็กเก็ตส่งถึงปลายทางอย่างสมบูรณ์
ข้อมูลในส่วนหัวของโปรโตคอล TCP จะประกอบด้วยข้อมูลมากที่สุด 20 ไบต์ และประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ซึ่งมีฟิลด์มีความหมายดังนี้
- TCP Source Port (16 บิต) : ส่วนนี้จะเป็นหมายเลขพอร์ตที่เป็นจุดเริ่มการสื่อสาร หมายเลขพอร์ตเมื่อรวมกับหมายเลข IP จะเป็นที่อยู่ของการส่งข้อมูลกลับ
- TCP Destination Port (16 บิต) : เป็นหมายเลขพอร์ตเครื่องรับ ซึ่งพอร์ตนี้จะเป็นพอร์ตที่ใช้เชื่อมต่อกับแอพพลิเคชันที่จะนำข้อมูลที่ส่งไปให้นี้ไปโพรเซสต่อไป
- TCP Sequence Number (32 บิต) : เป็นหมายเลขที่บอกลำดับแพ็กเก็ตที่จะใช้ โดยฝั่งเครื่องรับในการเรียงข้อมูลให้อยู่ในรูปเดิมในการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายที่สลับซับซ้อนนั้นแพ็กเก็ตแต่ละชุดอาจจะถูกส่งไปบนเส้นทางที่ต่างกัน ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่แพ็กเก็ตจะเดินทางมาถึงปลายทางไม่เป็นไปตามลำดับที่ส่ง หมายเลขนี้จะใช้ในการจัดเรียงแพ็กเก็ตเหล่านี้ให้อยู่ในลำดับเดิม
- TCP Acknowledgement Number (32 บิต) : เป็นหมายเลขลำดับแพ็กเก็ตถัดไปที่ทางฝั่งรับคาดหวัง ซึ่งเป็นการบอกเป็นนัยว่าแพ็กเก็ตที่มีหมายเลขลำดับก่อนหน้านี้ได้รับหมดแล้วนั่นเอง
- Data Offset (4 บิต) : เป็นตัวเลขที่บอกขนาดของข้อมูลส่วนหัว (TCP Header) ซึ่งมีหน่วยเป็น 32 บิต หรือ Word
- Reserved (6 บิต) : ส่วนนี้จะถูกกำหนดให้เป็นศูนย์ตลอด ซึ่งข้อมูลส่วนนี้ไม่มีความหมายอะไรเพียงแต่เป็นการสงวนไว้ใช้ในอนาคตเมื่อมีการปรับปรุงโปรโตคอล
- Flags (6 บิต) : เป็นข้อมูลที่ใช้สำหรับควบคุมการรับส่งแพ็กเก็ต
- Window Size (16 ) : เป็นตัวเลขที่เครื่องปลายทางบอกให้เครื่องต้นทางทราบขนาดวินโดว์ของเครื่องปลายทางสามารถรับรู้ได้
- Checksum (16) : เป็นข้อมูลที่ใช้ในการตรวจสอบข้อผิดพลาดของข้อมูลในส่วนหัว โดยเครื่องส่งจะทำการคำนวณค่า เช็คซัม (Checksum) ของข้อมูลส่วนหัว เมื่อเครื่องปลายทางได้รับข้อมูลก็จะทำการคำนวณเช็คซัมด้วยวิธีเดียวกัน แล้วทำการเปรียบเทียบข้อมูลค่าที่คำนวณได้กับค่าที่อยู่ในฟิลด์นี้ ถ้าเหมือนกันแสดงว่าไม่มีข้อผิดพลาดในข้อมูลที่ได้รับ
- Padding : เป็นข้อมูลที่เพิ่มเพื่อให้ข้อมูลส่วนหัวมีจำนวนบิตที่หารด้วย 32 ลงตัว
อธิบายรูปแบบโครงสร้างและหน้าที่การทำงานของโปรโตคอน
สถาปัตยกรรมชุดโปรโตคอล TCP/IP
ในขณะที่สถาปัตยกรรมรูปแบบ OSI ยังไม่พร้อมสำหรับการใช้งานในการสื่อสารข้อมูลในเครือ | |
ข่ายกันจริง ๆ กระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกาหรือ DOD (The U.S. Department of Defend) ใน เวลานั้นได้มีการกำหนด และเริ่มใช้รูปแบบสถาปัตยกรรม และโปรโตคอลสำหรับระบบเครือข่ายระดับ WAN (Wide Area Network) ที่ DOD ได้ทำการพัฒนาขึ้นมาใช้เอง ซึ่งก็คือสถาปัตยกรรม ARPANET และ โปรโตคอล TCP/IP เพื่อใช้ในการเชื่อมโยงโฮสต์คอมพิวเตอร์ที่มีความหลากหลายแตกต่างกัน และอยู่ห่าง ไกลกันให้สามารถติดต่อสื่อสารข้อมูลกันได้ และผลการใช้งานก็เป็นที่น่าเป็นที่น่าพอใจอย่างมากเพียงแต่ว่า ARPANET ยังนับว่าเป็นสถาปัตยกรรมเครือข่ายระดับ WAN ที่ใช้สำหรับการทหารมากกว่าที่จะใช้ในทาง ด้านธุรกิจหรือสาธารณะ | |
และเนื่องจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล(PC) ทำให้ DOD ต้องการที่จะ | |
พัฒนารูปแบบของสถาปัตยกรรมและโปรโตคอลสำหรับเครือข่ายระดับท้องถิ่น (LAN) ขึ้นมาใช้เองด้วยเหตุผล | |
หลัก 3 ประการคือ | |
1. เพราะ DOD ต้องการรูปแบบสถาปัตยกรรมและโปรโตคอลที่สามารถใช้งานได้จริง ๆ | |
2. DOD มีข้อกำหนดลักษณะของเครือข่ายที่พิเศษเฉพาะออกไปจากเครือข่ายของระบบเปิด | |
3. DOD ต้องการรูปแบบสถาปัตยกรรมและโปรโตคอลของเครือข่ายที่ง่ายและไม่ซับซ้อน | |
สำหรับเหตุผลข้อที่ 1 และข้อที่ 2 คือเหตุผลความจำเป็นส่วนตัว สำหรับข้อ3 เป็นเหตุผลของ | |
การแตกต่างในรูปแบบของสถาปัตยกรรมแบบ OSI กับ สถาปัตยกรรมแบบ TCP/IP หรือเรียกว่า ชุด โปรโตคอล TCP/IP กับสถาปัตยกรรมรูปแบบ OSI กันก่อนที่เราจะศึกษากันในเรื่องของโปรโตคอล TCP/IP | |
ข้อแตกต่างระหว่างชุดโปรโตคอล TCP/IP และรูปแบบ OSI | |
ระหว่างชุดโปรโตคอล TCP/IP กับรูปแบบ OSI นั้นมีความสำคัญ ๆ ที่แตกต่างกันอยู่ 4 อย่างคือ | |
1. ลำดับการติดต่อสื่อสารของชั้นเลเยอร์ ทั้งชุดโปรโตคอล TCP/IP และรูปแบบ OSI จะมีการจัด | |
แบ่งการสื่อสารข้อมุลออกเป็นเอนทิตี้ ๆ เพื่อง่ายต่อการจับคู่การสื่อสารระหว่างเอนทิตี้ของระบบหนึ่งกับอีกระบบ หนึ่ง แต่จุดที่แตกต่างกันก็คือในรูปแบบ OSI นั้นจะกำหนดลำดับ ชั้นการสื่อสารที่เป็นลำดับขั้นตอนการติดต่อ ที่แน่นอน โดยเฉพาะการอินเตอร์เฟซระหว่างชั้นเลเยอร์ ซึ่งทำให้รูปแบบ OSI สามารถเป็นระบบเปิดสำหรับ ระบบคอมพิวเตอร์ทั่วไป เพราะว่าไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงโปรโตคอลในเลเยอร์ชั้นใดก็ตาม จะไม่มีผล กระทบต่อการสื่อสารกับเลเยอร์ชั้นถัดไป ในขณะที่ชุดโปรโตคอล TCP/IP จะไม่มีการกำหนดรูปแบบการติด ต่อที่ตายตัว เพื่อให้ผู้ออกแบบเครือข่ายมีอิสระสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเครือข่ายได้ง่าย | |
เพื่อสร้างความเข้าใจยิ่งขึ้น จึงจะขออธิบายการติดต่อการสื่อสารเป็นลำดับชั้นของเลเยอร์ ในรูป | |
แบบ OSI ว่ากำหนดเป็นลำดับที่แน่นอนอย่างไร ดังนี้ | |
- ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเอนทิตี้ N จะต้องกระทำโดยผ่านทางเอนทิตี้ N-1 (เอนทิตี้ลำดับ | |
ล่างติดกัน) | |
- เอนทิตี้ N-1 จะเป็นผู้ควบคุมการแลกเปลี่ยนข่าวสารและข้อมูลจากเอนทิตี้ N | |
- ข้อมูลจากเอนทิตี้ N ที่ต้องการจะแลกเปลี่ยนกับระบบอื่น จะถูกส่งออกจากระบบในรูปของข้อมูล | |
ของเอนทิตี้ N-1 | |
ส่วนในชุดโปรโตคอล TCP/IP จะไม่มีการกำหนดการติดต่อสื่อสารอย่างเข้มงวดเช่นในรูปแบบ | |
OSI กล่าวคือ | |
- เอนทิตี้ N อาจจะติดต่อสื่อสารข้อมูลโดยผ่านเอนทิตี้ลำดับล่างที่ติดกันหรือไม่ก็ได้ | |
- การควบคุมการแลกเปลี่ยนข่าวสาร และข้อมูลอาจจะกระทำในเอนทิตี้ลำดับบน หรือเอนทิตี้ | |
ลำดับล่าง (ซึ่งไม่จำเป้นจะต้องเป็นลำดับล่างติดกัน) ก็ได้ | |
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าในการติดต่อแลกเปลี่ยนข่าวสารในรูปแบบ OSI นั้นการอินเตอร์เฟซระหว่าง | |
เอนทิตี้ N กัน เอนทิตี้ N-1 จะถูกกำหนดอย่างแน่นอนตายตัว ในขณะที่ชุดโปรโตคอล TCP/IP จะให้ความยืด หยุ่นในการสื่อสารข้อมูลมากกว่า | |
2. การสื่อสารระหว่างเครือข่ายหรือการอินเตอร์เนต (InterNet) คือ การติดต่อสื่อสารข้อมูล | |
ระหว่างระบบคอมพิวเตอร์ 2 ระบบที่ไม่สามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยผ่านทางเครือข่ายการสื่อสารข้อมูล เพียงเครือข่ายเดียวได้ ต้องอาศัยเครือข่ายตั้งแต่ 2 เครือข่ายขึ้นไปในการติดต่อสื่อสารกัน และเครือข่ายเหล่า นี้อาจจะมีลักษณะของเครือข่ายที่ต่างกันก็ได้ | |
ความแตกต่างในเรื่องของอินเตอร์เนตระหว่างชุดโปรโตคอล TCP/IP กับรูปแบบ OSI ก็คือในชุด | |
โปรโตคอล TCP/IP จะใช้โปรโตคอลสำหรับอินเตอร์เนตที่เรียกว่า โปรโตคอล IP (Intenet Protocol) ซึ่งใน รูปแบบ OSI จะเรียกโปรโตคอลสำหรับการอินเตอร์เนตว่า โปรโตคอล Network | |
3. การบริการเชื่อมต่อการสื่อสาร (Connection Service) ในชุดโปรโตคอล TCP/IP นั้นจะมี | |
การบริการการเชื่อมต่อการสื่อสารระหว่างต้นทางและปลายทาง 2 แบบ คือการบริการแบบ Connectionless และแบบ Connection oriented ส่วนในรูปแบบ OSI จะให้ความสำคัญเฉพาะบริการแบบ Connection - oriented เท่านั้น | |
ในการบริการแบบ Connection-oriented ของชุดโปรโตคอล TCP/IP โปรโตคอล TCP จะกำ- | |
หนดช่วงเวลา (Session) สำหรับการติดต่อยืนยันการส่ง-รับข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ทั้ง 2 เครื่องเช่นเดียว กับการทำงานของโปรโตคอล Session ในรูปแบบ OSI ซึ่งทำให้โปรโตคอล TCP เป็นโปรโตคอลที่มีความ น่าเชื่อถือ(Reliable) เพราะให้ความแน่นอนว่าแพ็กเกจข้อมูลที่ถูกส่งออกไปจากต้นทางจะไปถึงยังปลายทาง อย่างเป็นลำดับ และไม่มีความผิดพลาด หรือสูญหายของข้อมุล | |
สำหรับการบริการแบบ Connectionless ของโปรโตคอล จะมีลักษณะแบบเดียวกับโปรโตคอล | |
UDP (User Datagram Protocol) คือโปรโตคอลจะมีหน้าที่ควบคุมการส่ง - รับข้อมูลโดยไม่มีการรอคอย การยืนยันการตอบรับข้อมูลจากปลายทาง ทำให้บริการแบบนี้ให้ความน่าเชื่อถือน้อยกว่า แต่ก็ทำให้การสื่อสาร ข้อมูลรวดเร็วยิ่งขึ้นถ้าไม่มีความผิดพลาดเกิดขึ้นในการส่ง-รับข้อมูล | |
การบริการแบบ Connectionless ของโปรโตคอล UDP ไม่มีสัญญาณตอบรับ (ACK) การบริการแบบ Connection-oriented ของโปรโตคอล TCPเปรียบเทียบระหว่างโปรโตคอล TCP และโปรโตคอล Datagram | |
4. โปรโตคอลควบคุมการจัดการสื่อสาร ในชุดโปรโตคอล TCP/IP จะใช้โปรโตคอล TCP | |
(Transmission Control Protocol) เป็นโปรโตคอลสำหรับควบคุมการสื่อสารออกจากกันโดยใช้โปรโตคอล Session และโปรโตคอล Transport ตามลำดับ |
มีบทบาทและความสำคัญต่อชีวิตประจำวันของคนเรา
ปัจจุบันอินเตอร์เน็ต ได้เข้ามามีบทบาทและความสำคัญต่อชีวิตประจำวันของคนเรา ทั้งการศึกษา การพาณิชย์ ความบันเทิงและอื่นๆ ดังนี้
ด้านการศึกษา
1. สามารถใช้เป็นแหล่งค้นคว้าหาข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลทางวิชา หรืออ่านหนังสือออนไลน์
2. ระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต จะทำหน้าที่เสมือนเป็นห้องสมุดออนไลน์
3. นักศึกษาในมหาวิทยาลัย สามารถใช้อินเตอร์เน็ต ติดต่อกับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ เพื่อค้นหาข้อมูลที่กำลังศึกษาอยู่ได้ ทั้งที่ข้อมูลที่เป็น ข้อความ เสียง ภาพเคลื่อนไหวต่างๆ เป็นต้น
4. สามารถทำการเรียนการสอนผ่านระบบอินเตอร์เน็ตได้ 1. ค้นหาข้อมูลต่าง ๆ เพื่อช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจ
2. ระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต จะทำหน้าที่เสมือนเป็นห้องสมุดออนไลน์
3. นักศึกษาในมหาวิทยาลัย สามารถใช้อินเตอร์เน็ต ติดต่อกับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ เพื่อค้นหาข้อมูลที่กำลังศึกษาอยู่ได้ ทั้งที่ข้อมูลที่เป็น ข้อความ เสียง ภาพเคลื่อนไหวต่างๆ เป็นต้น
4. สามารถทำการเรียนการสอนผ่านระบบอินเตอร์เน็ตได้ 1. ค้นหาข้อมูลต่าง ๆ เพื่อช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจ
ด้านการพาณิชย์
1. ค้นหาข้อมูลต่าง ๆ เพื่อช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจ
2. สามารถซื้อขายสินค้า ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
3. ทำการตลาดการโฆษณาผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
4. ผู้ใช้ที่เป็นบริษัท หรือองค์กรต่าง ๆ ก็สามารถเปิดให้บริการ และสนับสนุนลูกค้าของตน ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้ เช่น การให้คำแนะนำ สอบถามปัญหาต่าง ๆ ให้แก่ลูกค้า แจกจ่ายตัวโปรแกรมทดลองใช้ (Shareware) หรือโปรแกรมแจกฟรี (Freeware) เป็นต้น
2. สามารถซื้อขายสินค้า ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
3. ทำการตลาดการโฆษณาผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
4. ผู้ใช้ที่เป็นบริษัท หรือองค์กรต่าง ๆ ก็สามารถเปิดให้บริการ และสนับสนุนลูกค้าของตน ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้ เช่น การให้คำแนะนำ สอบถามปัญหาต่าง ๆ ให้แก่ลูกค้า แจกจ่ายตัวโปรแกรมทดลองใช้ (Shareware) หรือโปรแกรมแจกฟรี (Freeware) เป็นต้น
ด้านการบันเทิง
1. การพักผ่อนหย่อนใจ เช่น การค้นหาวารสารต่าง ๆ ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต อ่านหนังสือพิมพ์และข่าวสารอื่นๆ โดยมีภาพประกอบ
2. การเล่นเกมออนไลน์
3. สามารถฟังวิทยุหรือดูการถ่ายทอดสดผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้
4. สามารถดึงข้อมูล (Download) ภาพยนตร์ตัวอย่างทั้งภาพยนตร์ใหม่ และเก่า มาดูได้
นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ในระบบอินเตอร์เน็ตยังมีบริการอื่นๆ อีกมากมาย พอจะสรุปได้ว่า อินเตอร์เน็ต มีความสำคัญ ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย การติดต่อสื่อสารที่สะดวก และรวดเร็ว แหล่งรวบรวมข้อมูลแหล่งใหญ่ที่สุดของโลก อินเตอร์เน็ตเป็นเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับงานไอที ทำให้เกิดช่องทางในการเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็ว ช่วยในการตัดสินใจ และบริหารงานทั้งระดับบุคคลและองค์กร
2. การเล่นเกมออนไลน์
3. สามารถฟังวิทยุหรือดูการถ่ายทอดสดผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้
4. สามารถดึงข้อมูล (Download) ภาพยนตร์ตัวอย่างทั้งภาพยนตร์ใหม่ และเก่า มาดูได้
นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ในระบบอินเตอร์เน็ตยังมีบริการอื่นๆ อีกมากมาย พอจะสรุปได้ว่า อินเตอร์เน็ต มีความสำคัญ ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย การติดต่อสื่อสารที่สะดวก และรวดเร็ว แหล่งรวบรวมข้อมูลแหล่งใหญ่ที่สุดของโลก อินเตอร์เน็ตเป็นเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับงานไอที ทำให้เกิดช่องทางในการเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็ว ช่วยในการตัดสินใจ และบริหารงานทั้งระดับบุคคลและองค์กร
บทบาทของอินเตอร์เน็ตและอนาคตของอินเตอร์เน็ต
ในปัจจุบันอินเตอร์เน็ตยังถือเป็นช่องทางกระจายสินค้าหรือตลาดได้อีกทางหนึ่ง โดยการซื้อขายผ่านเว็บเพจและทำการจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิต
การซื้อข่ายผ่านอินเตอร์เน็ตมีการเติบโตรวดเร็วเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการโชว์สินค้าต่ำกว่าวิธีอื่นๆ แต่ก็อาจมีข้อเสียคือผู้บริโภคไม่สามารถตรวจสอบสินค้าได้จริง ถึงแม้ว่าในทางการค้ายังไม่เติบโตอย่างที่คาดไว้
อินเตอร์เน็ตก็มีผลต่อการศึกษาเป็นอย่างมาก เนื่องจากนักเรียนสามารถเรียนรู้และโต้ตอบกับครูในระยะไกลๆ ได้เป็นอย่างดี ในปัจจุบันนี้มีมหาวิทยาลัยหลายแห่งที่มีเปิดหลักสูตรปริญญาโทและเอกโดยการเรียนผ่านอินเตอร์เน็ต ทางการแพทย์และสาขาวิชาชีพอื่นๆ ก็ได้รับประโยชน์จากอินเตอร์เน็ตมากเช่นกัน เนื่องจากอินเตอร์เน็ตได้ช่วยลดความห่างไกลกัน ผู้คนสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ง่ายขึ้นเหมือกับอยู่ที่แห่งเดียวกัน
อินเตอร์เน็ตจะมีบทบาทมากขึ้นในชีวิตประจำวันของทุกคน และจะมีอิทธิพลอย่างมากในโลกยุคต่อไป เนื่องจากอินเตอร์เน็ตจัดเป็นสื่อชนิดหนึ่งมันจึงมีอิทธิพลกับทุกๆ คนเหมือนกับวิทยุ โทรทัศน์และหนังสือพิมพ์
ดังที่เราจะเห็นได้จากบริษัทและหน่วยงานองค์กรแทบทั้งหมดจะมีโฮมเพจเป็นของตนเองเพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลขององค์กรอย่างละเอียดในอินเตอร์เน็ต
อินเตอร์เน็ตจะมีผลกระทบต่อทุกคนในทุกสาขาอาชีพ และจะเป็นสิ่งหนึ่งซึ่งช่วยให้เกิดการไหลของกระแสดวัฒนธรรมอย่างรวดเร็วในโลกสมัยใหม่ จึงทำให้ผู้ที่มีการศึกษาทุกคนจำเป็นต้องศึกษาอินเตอร์เน็ตเพื่อให้สามารถก้าวทันโลกได้
สิ่งที่ชี้ให้เห็นได้ชัดว่าอินเตอร์เน็ตได้ก้าวเข้ามาในชีวิตของผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทุกคนคือ ในขณะนี้อินเตอร์เน็ตได้ถูกผนวกเข้ากับระบบปฏิบัติการที่ยอดนิยมที่สุดแล้ว ทำให้ Windows 98 สามารถจะใช้งานอินเตอร์เน็ตได้เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของตัวโปรแกรมอย่างสมบูรณ์.
สถาปัตยกรรมรูปแบบ OSI
สถาปัตยกรรมเครือข่ายรูปแบบ OSI
ในปี ค.ศ. 1977 องค์กร ISO (international Oraganization for Standard)ได้จัดตั้งคณะ
| |||||||||||||||||||
กรรมการขึ้นกลุ่มหนึ่ง เพื่อทำการศึกษาจัดรูปแบบมาตราฐาน และพัฒนาสถาปัตยกรรมเครือข่าย และใน ปี ค.ศ. 1983 องค์กร ISO ก็ได้ออกประกาศรูปแบบของสถาปัตยกรรมเครือข่ายมาตราฐานในชื่อของ "รูปแบบ OSI " (Open System Interconnection Model) เพื่อใช้เป็นรูปแบบมาตราฐานในการเชื่อมต่อระบบ คอมพิวเตอร อักษร์ "O" หรือ "Open" ก็ หมายถึง การที่คอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์หนึ่งสามารถ "เปิด" กว้างให้คอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่นที่ใช้มาตราฐาน OSI เหมือนกันสามารถติดต่อไปมาหา สู่ระหว่างกันได้ จุดมุ่งหมายของการกำหนดการแบ่งโครงสร้างของสถาปัตยกรรมเครือข่ายออกเป็นเลเยอร์ ๆ และกำหนดหน้าที่การทำงานในแต่ละเลเยอร์ รวมถึงกำหนดรูปแบบการอินเตอร์เฟซระหว่างเลเยอร์ด้วย โดยมีหลักเกณฑ์ในการกำหนดดังต่อไปนี้
| |||||||||||||||||||
1. ไม่แบ่งโครงสร้างออกเป็นเลเยอร์ ๆ มากเกินไป
| |||||||||||||||||||
2. แต่ละเลเยอร์จะต้องมีการทำงานแตกต่างกันทั้งขบวนการและเทคโนโลยี
| |||||||||||||||||||
3. จัดกลุ่มหน้าที่การทำงานที่คล้ายกันให้อยู่ในเลเยอร์เดียวกัน
| |||||||||||||||||||
4. เลือกเฉพาะการทำงานที่เคยใช้ได้ผลประสบความสำเร็จแล้ว
| |||||||||||||||||||
5. กำหนดหน้าที่การทำงานเฉพาะง่ายๆ แก่เลเยอร์ เผื่อว่าในอนาคตถ้ามีการออกแบบเลเยอร์
| |||||||||||||||||||
ใหม่ หรือมีการเปลี่ยนแปลงโปรโตคอลใหม่ในอันที่จะทำให้สถาปัตยกรรมมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น จะไม่มีผล ทำให้อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ ที่เคยใช้อยู่เดิมจะต้องเปลี่ยนแปลง
| |||||||||||||||||||
6. กำหนดอินเตอร์เฟซมาตรฐาน
| |||||||||||||||||||
7. ให้มีการยืดหยุ่นในการเปลี่ยนแปลงโปรโตคอลในแต่ละเลเยอร์
| |||||||||||||||||||
8. สำหรับเลเยอร์ของแต่ละเลเยอร์ให้ใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับที่กล่าวมาใน 7 ข้อแรก
|
อินเทอร์เน็ต (Internet) มาจากคำว่า Inter Connection Network หมายถึง เครือข่ายของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ระบบต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกัน ลักษณะของระบบอินเทอร์เน็ต เป็นเสมือนใยแมงมุม ที่ครอบคลุมทั่วโลก ในแต่ละจุดที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตนั้น สามารถสื่อสารกันได้หลายเส้นทาง โดยไม่กำหนดตายตัว และไม่จำเป็นต้องไปตามเส้นทางโดยตรง อาจจะผ่าน
จุดอื่น ๆ หรือ เลือกไปเส้นทางอื่นได้หลาย ๆ เส้นทาง
อินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน ถูกพัฒนามาจากโครงการวิจัยทางการทหารของกระทรวงกลาโหมของประเทศ สหรัฐอเมริกา คือAdvanced Research Projects Agency (ARPA) ในปี 1969 โครงการนี้เป็นการวิจัยเครือข่ายเพื่อ
การสื่อสารของการทหารในกองทัพอเมริกา หรืออาจเรียกสั้นๆ ได้ว่า ARPA Net ในปี ค.ศ. 1970 ARPA Net ได้มีการพัฒนาเพิ่มมากขึ้นโดยการเชื่อมโยงเครือข่ายร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกา คือ มหาวิทยาลัยยูทาห์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ซานตาบาบารา มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ลอสแองเจลิส และสถาบันวิจัยของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และหลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มีการใช้ อินเทอร์เน็ตกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น
สำหรับในประเทศไทย อินเทอร์เน็ตเริ่มมีการใช้ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2530 ที่มหาวิยาลัยสงขลานครินทร์ โดยได้รับความช่วยเหลือจากโครงการ IDP (The International Development Plan) เพื่อให้มหาวิทยาลัยสามารถติต่อสื่อสารทาง
อีเมลกับมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นในออสเตรเลียได้ ได้มีการติดตั้งระบบอีเมลขึ้นครั้งแรก โดยผ่านระบบโทรศัพท์ ความเร็วของโมเด็มที่ใช้ในขณะนั้นมีความเร็ว 2,400 บิต/วินาที จนกระทั่งวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2531 ได้มีการส่งอีเมลฉบับแรกที่ติดต่อระหว่างประเทศไทยกับมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์จึงเปรียบเสมือนประตูทางผ่าน (Gateway) ของไทยที่เชื่อมต่อไปยังออสเตรเลียในขณะนั้น
ในปี พ.ศ. 2533 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ได้เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ของสถาบันการศึกษาของรัฐ โดยมีชื่อว่า เครือข่ายไทยสาร (Thai Social/Scientific Academic and Research Network : ThaiSARN) ประกอบด้วย มหาวิยาลัยสงขลานครินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตภายในประเทศ เพื่อการศึกษาและวิจัย
ในปี พ.ศ. 2538 ได้มีการบริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ขึ้น เพื่อให้บริการแก่ประชาชน และภาคเอกชนต่างๆ ที่ต้องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดยมีบริษัทอินเทอร์เน็ตไทยแลนด์ (Internet Thailand ) เป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต
(Internet Service Provider: ISP) เป็นบริษัทแรก เมื่อมีคนนิยมใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น บริษัทที่ให้บริการอินเทอร์เน็ต
จึงได้ก่อตั้งเพิ่มขึ้นอีกมากมาย
วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555
เทคโนโลยีอินเตอรืเน็ต
เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต
ในทางเศรษฐศาสตร์ มองเทคโนโลยีว่า เป็นความรู้ของมนุษย์ ณ ปัจจุบัน ในการนำเอาทรัพยากรมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ (รวมถึงความรู้ว่าเราสามารถผลิตอะไรได้บ้าง) ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี จะเกิดขึ้นเมื่อความรู้ทางเทคนิคของเราเพิ่มขึ้น
“เทคโนโลยี” มีความสัมพันธ์กับการดำรงชีวิตของมนุษย์มาเป็นเวลานาน เป็นสิ่งที่มนุษย์ใช้แก้ปัญหาพื้นฐาน ในการดำรงชีวิต เช่น การเพาะปลูก ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ในระยะแรกเทคโนโลยีที่นำมาใช้ เป็น เทคโนโลยีพื้นฐานไม่สลับซับซ้อนเหมือนดังปัจจุบัน การเพิ่มของประชากร และข้อจำกัดด้านทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งมีการพัฒนาความสัมพันธ์กับต่างประเทศเป็นปัจจัยด้านเหตุสำคัญในการนำและพัฒนาเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้น เทคโนโลยีกับวิทยาศาสตร์วิทยาศาสตร์กับเทคโนโลยีมีความสัมพันธ์กันมาก เทคโนโลยีเกิดจากพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับประเทศตะวันตก ได้ศึกษาค้นคว้าทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์กับเทคโนโลยี ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เป็นความรู้ที่เกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ โดยหลักสำคัญคือ ความรู้ทาง ิทยาศาสตร์คือการพยายามที่อธิบายว่าทำไมจึงเกิดอย่างนั้น (Why) เช่น นักฟิสิกส์ อธิบายว่า เมื่อขดลวดตัดสนามแม่เหล็กจะได้กระแสไฟฟ้า และน้ำเกิดจากไฮโดรเจนผสมกับออกซิเจนเป็นต้น
วิทยาการและความล้ำหน้าทางเทคโนโลยี
ปัจจุบันเทคโนโลยีได้เป็นที่สนใจของคนทุกมุมโลกทุกสาขา เทคโนโลยีจึงเป็นที่แพร่หลายและถูกนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงานและดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนการศึกษาในสมัยนี้จึงมีหลักสูตรที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีเข้าไปด้วย หากถามว่าเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุดและคนทั้งโลกให้ความสำคัญมากที่สุดคงปฏิเสทไม่ได้ว่าคือเทคโนโลยีสารสนเทศหรือที่เรารู้จักกันดีคือคอมพิวเตอร์เพราะปัจจุบันนี้เรามองไปทางไหนก็น่าจะมีอะไรที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศไปหมด ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์ มือถือ อินเทอร์เน็ต คอมพิวเตอร์เตอร์ PDA GPS ดาวเทียม ก็ล้วนแต่เป็นเทคโนโลยีสารสนเทศ และไม่นานมานี้ได้มีการออก พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เป็นการบ่งบอกว่าสังคมให้ความสำคัญแก่คอมพิวเตอร์
อินเทอร์เน็ต (Internet) หมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์นานาชาติ ที่มีสายตรงเชื่อมต่อไปยังสถาบันหรือหน่วยงานต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้ทั่วโลก. ผู้ใช้เครือข่ายนี้สามารถสื่อสารถึงกันได้ทางอีเมล์ สามารถสืบค้นข้อมูลและสารสนเทศ รวมทั้งคัดลอกแฟ้มข้อมูลและโปรแกรมมาใช้ได้. อย่างไรก็ตาม มีผู้เปรียบเทียบว่า อินเทอร์เน็ตเป็นเหมือนทางหลวงระหว่างประเทศ แต่ละประเทศจะต้องมีถนนเข้ามาเชื่อมต่อเข้าไปในประเทศ กล่าวคือ จะต้องมีเครือข่ายภายในรับช่วงต่ออีกทอดหนึ่ง (เช่น เครือข่ายภายในมหาวิทยาลัย, องค์กร หรือเครือข่ายของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต) มิฉะนั้นก็จะใช้ไม่ได้ผล
ประโยชน์ของอินเทอร์เน็ต
1. ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์(Electronic mail=E-mail) เป็นการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยผู้ส่งจะต้องส่งข้อความไปยังที่อยู่ของผู้รับ และแนบไฟล์ไปได้
2. เทลเน็ต(Telnet) การใช้งานคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งที่อยู่ไกล ๆ ได้ด้วยตนเอง เช่น สามารถเรียกข้อมูลจากโรงเรียนมาทำที่บ้านได้
3. การโอนถ่ายข้อมูล(File Transfer Protocol ) ค้นหาและเรียกข้อมูลจากแหล่งต่างๆมาเก็บไว้ในเครื่องของเราได้ ทั้งข้อมูลประเภทตัวหนังสือ รูปภาพและเสียง
4. การสืบค้นข้อมูล (Gopher,Archie,World wide Web) การใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตในการค้นหาข่าวสารที่มีอยู่มากมาย ใช้สืบค้นข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ทั่วโลกได้
5. การแลกเปลี่ยนข่าวสารและความคิดเห็น(Usenet) เป็นการบริการแลกเปลี่ยนข่าวสารและแสดงความคิดเห็นที่ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วโลก แสดงความคิดเห็นของตน โดยกลุ่มข่าวหรือนิวกรุ๊ป(Newgroup)แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
6. การสื่อสารด้วยข้อความ (Chat,IRC-Internet Relay chat) เป็นการพูดคุย โดยพิมพ์ข้อความตอบกัน ซึ่งเป็นวิธีการสื่อสารที่ได้รับความนิยมมากอีกวิธีหนึ่ง การสนทนากันผ่านอินเทอร์เน็ตเปรียบเสมือนเรานั่งอยู่ในห้องสนทนาเดียวกัน แม้จะอยู่คนละประเทศหรือคนละซีกโลกก็ตาม
7. การซื้อขายสินค้าและบริการ(E-Commerce = Electronic Commerce) เป็นการซื้อ - สินค้าและบริการ ผ่านอินเทอร์เน็ต
8. การให้ความบันเทิง (Entertain) บนอินเทอร์เน็ตมีบริการด้านความบันเทิงหลายรูปแบบต่างๆ เช่น รายการโทรทัศน์ เกม เพลง รายการวิทยุ เป็นต้น เราสามารถเลือกใช้บริการเพื่อความบันเทิงได้ตลอด 24 ชั่วโมง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)